เช็กเลย สอบใบขับขี่รถยนต์ 2566 มีขั้นตอนอะไรบ้าง

เช็กเลย สอบใบขับขี่รถยนต์ 2566 มีขั้นตอนอะไรบ้าง

ENNXO
/
Blog
/
เช็กเลย สอบใบขับขี่รถยนต์ 2566 มีขั้นตอนอะไรบ้าง
แชร์
Social Sharing
Share on Facebook
Share on Line
Share on Twitter (X)
Copy URL
อัพเดทล่าสุด: 23 มีนาคม 2024

ใครที่กำลังจะไปสอบใบขับขี่รถยนต์เป็นครั้งแรก แล้วเกิดข้อกังวลเกี่ยวกับการสอบใบขับขี่รถยนต์ว่าจะยากไหม แต่ละขั้นตอนจะต้องทำอะไรบ้าง วันนี้เรามีคู่มือเตรียมสอบใบขับขี่รถยนต์ 2566 สำหรับมือใหม่ พร้อมแจกแจงตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงได้ใบขับขี่ ข้อมูลครบจบที่นี่เลย

สอบใบขับขี่รถยนต์ 2566 ต้องเตรียมตัวอย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง

สำหรับการเริ่มต้นทำใบขับขี่รถยนต์ 2566 นั้น อย่างแรกของการสอบใบขับขี่รถยนต์จะต้องมีคุณสมบัติคือ อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกประเมินร่างกายว่ามีความพิการ หรือมีโรคประจำตัวที่ถูกวินิจฉัยโดยแพทย์ว่าไม่สามารถขับขี่รถยนต์ได้ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต และไม่เป็นผู้ที่อยู่ในระหว่างการถูกยึดหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ขั้นตอนการสอบใบขับขี่ออนไลน์

การสอบใบขับขี่รถยนต์ 2566 สามารถเริ่มจองสอบใบขับขี่ออนไลน์ด้วยตนเองจากที่บ้านได้ โดยขั้นตอนการสอบใบขับขี่ออนไลน์มีขั้นตอน ดังนี้

 1. จองคิวการเข้าอบรม และทดสอบทำใบขับขี่

ขั้นตอนที่ 1 จองคิวการเข้าอบรม และทดสอบทำใบขับขี่ โดยขั้นตอนนี้คุณสามารถจองคิวออนไลน์ได้ด้วยวิธีการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือจะจองคิวสอบใบขับขี่ออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ gecc.dlt.go.th ก็ได้เช่นกัน โดยคุณสามารถเลือกวัน เวลา สถานที่สำหรับการเข้าอบรม และทดสอบภาคปฏิบัติที่กรมการขนส่งทางบกได้ตามสะดวก หลังจากกดจองคิวสอบใบขับขี่ออนไลน์แล้ว อย่าลืมบันทึกหน้าจอเอาไว้เพื่อแสดงเป็นหลักฐานให้กับเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก

กรมการขนส่งทางบก

2. เตรียมเอกสารเพื่อขอรับใบขับขี่

ขั้นตอนที่ 2 คือ ขั้นตอนการเตรียมเอกสารเพื่อขอรับใบขับขี่ ในขั้นตอนการเตรียมเอกสารเพื่อไปสอบใบขับขี่นั้นต้องเตรียมเอกสารทั้งหมด 3 ชิ้น ดังนี้

  • บัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริง)
  • สำเนาบัตรประชาชน 1 ชุด
  • ใบรับรองแพทย์ วันที่ออกใบรับรองแพทย์ต้องมีอายุไม่เกิน 1 เดือน ณ วันที่ไปสอบใบขับขี่รถยนต์

3. ทดสอบสมรรถนะร่างกาย

ขั้นตอนที่ 3 เป็นการทดสอบสมรรถนะของร่างกายว่าผ่านเกณฑ์เบื้องต้นสำหรับการขับขี่รถยนต์หรือไม่ โดยการทดสอบมีทั้งหมด 4 แบบ คือ

  • ทดสอบปฏิกิริยาเท้าสำหรับการเบรก การทดสอบนี้เป็นการทดสอบเพื่อดูปฏิกิริยาความไวต่อการตอบสนองของเท้า โดยผู้ทดสอบจะต้องใช้วิธีการเหยียบคันเร่งแล้วมองไปที่สัญญาณไฟ ทันทีที่สัญญาณขึ้นไฟสีแดง ผู้ทดสอบจะต้องเปลี่ยนเท้ามาเหยียบเบรกทันที
  • ทดสอบการมองเห็นสี (เขียว เหลือง แดง) โดยเจ้าหน้าที่จะเป็นคนคอยเปิดสัญญาณไฟสีแดง เขียว เหลือง เพื่อให้เราตอบสีที่มองเห็น บททดสอบนี้เป็นการวัดความสามารถในการแยกแยะความแตกต่างของแต่ละสี 
  • ทดสอบสายตาทางกว้าง เพื่อวัดว่าคุณสามารถมองวัตถุในมุมกว้างได้หรือไม่ การทดสอบนี้จะต้องให้ผู้ทดสอบมองไปข้างหน้า แล้วใช้หางตามองป้ายสีแดง เหลือง เขียว หากคุณตอบถูกต้องก็ถือว่าการทดสอบผ่านแล้ว
  • ทดสอบสายตาทางลึก เป็นการทดสอบเพื่อคาดการณ์ และการเว้นระยะห่างของรถ ทักษะนี้เป็นทักษะที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการแซง การหยุด และการจอดรถ โดยการทดสอบนี้จะมีเสา 2 เสา ผู้ทดสอบจะต้องกะระยะให้เสาทั้ง 2 เสาเคลื่อนที่อยู่ในระนาบเดียวกัน โดยเราจะต้องเป็นคนกดปุ่มบังคับการเคลื่อนที่ของเสาด้วยตนเอง
ทดสอบสมรรถนะร่างกาย 4 แบบ

เพียงเท่านี้การทดสอบด้านสมรรถนะของร่างกายก็สิ้นสุดลงแล้ว 

4. อบรมภาคทฤษฎี

ขั้นตอนที่ 4 ของการสอบใบขับขี่คือ การอบรมภาคทฤษฎี สำหรับคนที่ทำใบขับขี่ครั้งแรกจะไม่สามารถอบรมแบบออนไลน์ได้ ต้องเดินทางไปอบรมยังสถานที่ทดสอบเท่านั้น โดยระยะเวลาสำหรับการอบรมนั้น จะใช้เวลาโดยประมาณ 5 ชั่วโมง แบ่งออกเป็นช่วงเช้า เวลา 09.30 - 12.00 น. และช่วงบ่าย เวลา 13.00 - 15.30 น. สำหรับหัวข้อในการอบรม หลายท่านคงสงสัยว่าการอบรมภาคทฤษฎีของการทำใบขับขี่รถยนต์นั้น อบรมเรื่องอะไรบ้าง คำตอบคือ ส่วนใหญ่แล้วจะเน้นการอบรมเกี่ยวกับการใช้รถยนต์เบื้องต้น ตั้งแต่การดูป้ายสัญลักษณ์บนท้องถนน, กฎหมายการจราจร, กฎหมายเกี่ยวกับรถยนต์, เทคนิคการขับรถให้ปลอดภัย และการบำรุงรักษารถยนต์ทั้งรถมือหนึ่ง และรถมือสอง

5. สอบข้อเขียน

ขั้นตอนที่ 5 หลังจากอบรมภาคทฤษฎีเสร็จแล้วนั้น คุณก็จะได้ทำการสอบข้อเขียน โดยนำความรู้จากการอบรมมาใช้ในการทำข้อสอบ คุณจะได้สอบข้อเขียนด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านระบบ Electronic Examination (E-exam) ข้อสอบมีทั้งหมด 50 ข้อ จะต้องตอบให้ถูกอย่างน้อย 90% หรือ 45 ข้อ ถึงจะผ่านการสอบข้อเขียน กรณีที่สอบไม่ผ่านจะต้องมาทำการสอบข้อเขียนใหม่ในวัดถัดไป หรือสอบข้อเขียนในระยะไม่เกิน 90 วัน หลังจากวันอบรมภาคทฤษฎี ซึ่งหากคุณกังวลเรื่องการสอบข้อเขียนว่าจะยากไหม ส่วนใหญ่แล้วข้อสอบทั้งหมดล้วนมาจากการอบรมภาคทฤษฎีรับรองว่าไม่ยากเกินความสามารถอย่างแน่นอน

6. สอบปฏิบัติ

ขั้นตอนที่ 6 คือ ขั้นตอนการสอบปฏิบัติ ซึ่งในขั้นตอนนี้จะสอบคนละวันกับการสอบข้อเขียน ในการทดสอบนี้เป็นการทดสอบความสามารถในการขับขี่รถยนต์ โดยคุณจะต้องขับรถยนต์ให้ได้ 3 ท่าด้วยกัน ดังนี้

  • ท่าเดินหน้าและถอยหลัง โดยคุณจะต้องขับรถให้อยู่ในช่องที่ถูกกำหนดไว้ คุณจะต้องขับรถไปข้างหน้า และถอยหลัง โดยพยายามไม่ชนหรือเบียดเสาที่อยู่ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา
ท่าเดินหน้า ถอยหลัง
  • ท่าจอดรถเทียบทางเท้า คุณจะต้องขับรถขนานไปกับทางเท้า โดยจะต้องวิ่งทับเส้นข้างทางเท้าและพยายามไม่ให้ระยะห่างระหว่างรถกับเส้นขอบห่างเกิน 25 เซนติเมตร และจะต้องขับรถเพื่อไปหยุดในเส้นหยุดรถโดยพยายามไม่ให้ชนขอบทางเท้า
ท่าจอดรถเทียบทางเท้า
  • ท่าขับรถถอยหลังเข้าซอง ท่านี้เป็นการขับรถที่คุณจะต้องพยายามจอดรถให้อยู่ระหว่างสิ่งกีดขวางทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ท่าสอบนี้เราจะเห็นบ่อยในกรณีการจอดรถข้างทางเท้า
ท่าขับรถถอยเข้าซอง

7. ชำระค่าธรรมเนียมเพื่อทำใบอนุญาตขับขี่

ขั้นตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำใบอนุญาตขับขี่รถยนต์แล้ว ในขั้นตอนนี้คือ การชำระเงินค่าทำใบอนุญาตขับขี่ โดยคุณจะต้องเตรียมเงินทั้งหมด 205 บาท เป็นค่าทำใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ 100 บาท ค่าถ่ายรูปหน้าบัตร 100 บาท และค่าธรรมเนียมขอมีใบขับขี่รถยนต์ 5 บาท ใบขับขี่ที่คุณจะได้นั้นคือ ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว มีอายุ 2 ปี 

ตัวอย่างใบอนญาตขับขี่

ได้อ่านขั้นตอนการเตรียมใบขับขี่รถยนต์ ฉบับปี 2566 อย่างละเอียดกันไปแล้ว เพียงเท่านี้คุณก็สามารถไปสอบใบขับขี่รถยนต์ได้ด้วยตนเองแบบไร้ข้อกังวล ในระยะเวลา 2 วันคุณก็จะมีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ไว้ครอบครองแล้ว และหากคุณกำลังมองหารถยนต์ดีๆ สักหนึ่งคัน ไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถมือสอง ที่ ENNXO.COM มีพร้อมให้คุณเลือกซื้อได้ตามชอบ ไม่ว่าจะซื้อหรือลงประกาศขายทำได้ที่เอ็นโซ่เลย

แชร์
Social Sharing
Share on Facebook
Share on Line
Share on Twitter (X)
Copy URL

บทความใกล้เคียง